วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

บันทึกการอ่านเรื่องที่๒๒

วันที่ ๒๕ เดือน มกราคม  พ .ศ. ๒๕๕๙
ที่มา : ชาญชัย อาจินสมาจาร ดาวฤกษ์ที่น่ารู้จัก
          พิมพ์ครั้งที่ ๑ สำนักพิมพ์อักษรวัฒนา  หน้า ๓๐ - ๔๒


ดาวฤกษ์กับดาวเคราะห์


     ดาวเคราะห์เป็นหินรูปทรงกลมที่หมุนรอบดาวฤกษ์ เมื่อดาวฤกษ์ก่อตัวขึ้นเป็นครั้งแรก ดาวเคราะห์ก็ก่อตัวขึ้นมาเช่นเดียวกัน มันมาจากกลุ่มก๊าซและฝุ่นเช่นเดียวกับดาวฤกษ์
     ระบบสุริยะของเราก่อตัวขึ้นเมื่อกลุ่มก๊าซหดตัวโดยก่อตัวเป็นดวงอาทิตย์ ไม่ใช่กลุ่มก๊าซทั้งกลุ่มที่ถูกดูดไปเพื่อก่อตัวเป็นดวงอาทิตย์ วงแหวนของก๊าซและฝุ่นที่เหลือหมุนรอบดวงอาทิตย์ที่เพิ่งก่อตัวใหม่ จุดเล็กๆของวงแหวนเริ่มจับตัวเข้าด้วยกัน มันค่อยๆจับตัวเป็นก้อนแข็งคล้ายก้อนหินอย่างช้าๆ จากนั้น หินเหล่านี้ก็จะกลายเป็นดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ที่เหมือนกับโลกต้องใช้เวลา ๑๐๐ ล้านปีเพื่อการก่อตัว
     ในทางช้างเผือก ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งในทุกๆสิบดวงอาจมีดาวเคราะห์ล้อมรอบมัน ดาวฤกษ์อยู่ห่างไกลมาก ดังนั้นดาวเคราะห์ที่อยู่ล้อมรอบมันจึงสลัวมาก ได้มีการสังเกตเห็นว่าดาวฤกษ์บางดวงส่ายไปส่ายมา อาจเป็นไปได้ที่มันถูกแรงดึงดูดจากดาวเคราะห์ที่มองไม่เห็น
     ได้มีตัวชี้แนะมากขึ้นเกี่ยวกับระบบสุริยะอื่นๆ จากดาวเทียมดาราศาสตร์อินฟาเรด รังสีอินฟราเรด (Infrared Rays) เป็นรังสีที่มีความยาวคลื่นระหว่างความยาวคลื่นของแสงกับคลื่นวิยุ เราสามรถสัมผัสรังสีอินฟาเรดในรูปของความร้อน ในปี ๑๙๘๓ ดาวเทียมดาราศาสตร์อินฟาเรดได้พบกลุ่มก๊าซที่เย็นตัวลงรอบๆดาวฤกษ์สี่สิบดวงใกล้ดวงอาทิตย์ ได้มีการถ่ายภาพกลุ่มก๊าซรอบๆดาวฤกษ์ดวงหนึ่งที่มีชื่อว่า เบต้า พิคโทริส (Beta Pictoris) กลุ่มก๊าซมีลักษณะคล้ายวงแหวนของฝุ่นและก๊าซที่คิดว่าดาวเคราะห์ได้ก่อตัวขึ้นมา เราสามารถเห็นขั้นตอนแรกๆของการก่อตัวดาวเคราะห์ใหม่

บันทึกการอ่านเรื่องที่๒๑

วันที่ ๒๕ เดือน มกราคม  พ .ศ. ๒๕๕๙
ที่มา : ชาญชัย อาจินสมาจาร ดาวฤกษ์ที่น่ารู้จัก
          พิมพ์ครั้งที่ ๑ สำนักพิมพ์อักษรวัฒนา  หน้า ๔๓ - ๕๖


ดาวฤกษ์คู่


     สองร้อยปีมาแล้ว นักดาราศาสตร์ชื่อ วิลเลียม เฮอร์เซล ได้มองดูดาวฤกษ์หลายดวงอย่างใกล้ชิด เขาพบว่าดาวฤกษ์บางดวงมีดาวดวงหนึ่งอาจอยู่ไกลจากเรามากกว่าดาวฤกษ์อีกดวง เราจะเห็นมันเรียงเป็นแถวเมื่อมองจากพื้นโลก ดาวฤกษ์ที่มีลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ดาวคู่ที่มองด้วยสายตา
     อย่างไรก็ตามในอีกหลายๆกรณี เมื่อมีการมองเห็นดาวฤกษ์สองดวงอยู่ใกล้กัน โดยความจริงแล้ว มันเป็นส่วนหนึ่งของระบบดาวฤกษ์แฝด มันก่อตัวที่เรียกว่า ทวิภาค (Binary) ดาวฤกษ์สองดวงเกิดขึ้นด้วยกัน มันอยู่ด้วยกันด้วยแรงดึงดูดของกันและกันตลอดอายุของมัน ดาวฤกษ์บนท้องฟ้าส่วนใหญ่เป็นคู่แฝดหรือไม่ก็เป็นสามดวงบ้างก็มีมากกว่านี้
     ดาวคู่แฝดจะหมุนรอบกันและกัน บางครั้งดาวฤกษ์ดวงหนึ่งจะหมุนผ่านด้านหน้าของอีกดวงในขณะที่เราศึกษามันจากพื้นโลก ดาวฤกษ์คู่หนึ่งซึ่งเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่าทวิภาคอุปราคา
     ดาวฤกษ์คู่หนึ่งมีชื่อว่า แอลกอล (Algol) มันอยู่ในกลุ่มดาวเปอร์ซีอุส ดาวฤกษ์สองดวงของแอลกอลอยู่ใกล้ชิดกันมากจนดูคล้ายเป็นดาวฤกษ์ดวงเดียวถึงแม้จะมองด้วยกล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่สุดทุกๆ ๒ วัน และ ๒๑ ชั่วโมง ดาวฤกษ์ดวงหนึ่งจะหมุนผ่านด้านหน้าของดาวฤกษ์อีกดวง ด้วยเหตุนี้ความสว่างของแอลกอลจึงลดเหลือหนึ่งในสามของความสว่างปกติ ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวกินเวลาสิบชั่วโมง

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

บันทึกการอ่านเรื่องที่๒๐

วันที่ ๒๔ เดือน มกราคม  พ .ศ. ๒๕๕๙
ที่มา : ลีลาภาษา วิตามินศัพท์ 
          พิมพ์ครั้งที่ ๑ บริษัท พริ้นท์ ซิตี้ จำกัด  หน้า ๗๑- ๙๐


รากศัพท์ที่เกี่ยวกับตาหรือการมอง


vision
     
     [ วิเชิ่น ] แปลว่า วิสัยทัศน์ เป็นความสามารถในการวางแผนสำหรับอนาคต หรือความสามารถในการมองเห็นด้วยปัญญา
จาก vision นังสาวต่อไปได้อีกเป็น visionless [ วิเชิ่นเหลส ] นี่เป็นการใส่บั้นท้าย less เพิ่มเข้าไปให้ vision ได้ความหมาย             ใหม่ในทางตรงกันข้ามว่า ไม่มีวิสัยทัศน์ หรือขาดความสามารถในการวางแผนสำหรับอนาคต (-less เป็นบั้นท้ายของคำศัพท์จำนวนมากในภาษาอังกฤษ มีความหมายว่า "ปราศจาก")

tele + vision

     [ เท้ลเหลอะวิเชิ่น ] ก็มีหัวใจ "vis" อยู่ในตัว คำนี้คงไม่จำเป็นต้องบอกคำแปลว่าคืออะไร เพราะใครๆเขาก็รู้กันว่าความหมายของมันคือโทรทัศน์ tele (เทเล) มีความหมายว่า ระยะไกล จับคู่กับคำไทยว่า โทร (อ่านว่า โท-ระ) tele...โท-ระ...ระยะไกล จำง่ายมากเลย vision มีความหมายเกี่ยวกับการเห็น เมื่อดอามาต่อกับ tele ที่แปลว่าระยะไกล จึงหมายถึงสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ แม้ว่ามันจะถูกส่งมาจากสถานีโทรทัศน์ที่อยู่ห่างไกลออกไปเป็นร้อยๆกิโเมตร

visual

     [ วิช่วล ] แปลว่า เกี่ยวกับการเห็น ส่วน visualize [ วิช่วลหล่ายสฺ ] เป็นคำกริยาต่อเนื่องมาจากคำว่า visual อีกทอดหนึ่ง มีความหมายว่า นึกเห็นภาพอยู่ในใจ สร้างภาพขึ้นมาในความคิด หรือมีจินตนาการ คำนามของมันคือ visualization [ วิช่วลหล่ายเซ้เชิ่น ] เพียงแค่ใส่คำว่า "การ" ไปข้างหน้า ก็เป็นคำแปลของคำนามแล้วว่า การนึกเห็นภาพในใจ การสร้างภาพขึ้นมาในความคิด หรือการใช้จินตนาการ

บันทึกการอ่านเรื่องที่๑๙

วันที่ ๒๔ เดือน มกราคม  พ .ศ. ๒๕๕๙
ที่มา : ลีลาภาษา วิตามินศัพท์ 
          พิมพ์ครั้งที่ ๑ บริษัท พริ้นท์ ซิตี้ จำกัด  หน้า ๘ - ๒๑


การเชื่อมโยงไปหาความหมายของคำศัพท์โดยผ่านเครื่องช่วยจำที่เรียกว่า Mnemonic


Mnemonic อ่านว่า เน-โม-หนิค มีความหมายว่า memory aid หรือเครื่องช่วยจำ
วิธีนี้เป็นแบบฟรีสไตล์ เป็นกลวิธีของใครของมัน สามารถสร้างสรรค์กันขึ้นมาเองโดยอาจจะเป็นภาพประกอบ ความคล้องจองของเสียง เรื่องที่กระทบอารมณ์อย่างแรง เรื่องตลก เรื่องแปลกประหลาด หรือบางครั้งอาจออกไปทางทะลึ่งๆ
กลวิธีอะไรกฌได้ที่ช่วยให้เราจดจำได้ดีสามารถเอามาใช้ได้หมด สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราจำได้ดีและจำได้นานกว่าปกติ ดูตัวอย่างคำที่เพิ่งผ่านมาเมื่อสักครู่ เช่น
youth      (ยูธ)      ที่แปลว่า เยาวชน ก็คือให้เชื่อมไปหาคำว่า
young     (ยัง)      ที่แปลว่า ยังวัยอ่อน
teenager    (ทิ้นเอจเจอะ)     ที่แปลว่า วัยรุ่น ดูให้ดีจะเห็นว่ามี ten ที่แปลว่า สิบ แอบแฝงอยู่
ส่วนคำว่า adolescence  (อะดอลเล้สเส่นสฺ)  ก็จะจำได้ง่ายขึ้น หากมองให้เห็นว่าศัพท์ตัวนี้มีคำว่า
adult  (อะดั๊ลทฺ)  ซึ่งแปลว่า ผู้ใหญ่ แฝงอยู่ในตัวด้วย  (adol ออกเสียงคล้ายๆ adult)  เพราะวัยรุ่นหรือ adolescence ที่ว่านี้ก็คือคนที่กำลังจะกลายเป็นผู้ใหญ่ในอีกไม่นาน


          youth --------> young
          
          ten = 10 + ager
         
          adolescence
          adol
          adult

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

บันทึกการอ่านเรื่องที่๑๘

วันที่ ๒๔ เดือน มกราคม  พ .ศ. ๒๕๕๙
ที่มา : นิพนธ์พงศ์ พานิช (หมอต้น) ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ รักษาได้ง่ายนิดเดียว 
          พิมพ์ครั้งที่ ๑ สำนักพิมพ์ SMART BOOK ในเครือสนุกอ่าน  หน้า ๘๑ - ๙๒


โรคภูมิแพ้เป็นเกิดจากอะไร


     สาเหตุของอาการภูมแพ้นั้น มีทั้งเกิดมาจากกรรมพันธู์และเกิดจากการได้รับสารก่อภูมิแพ้ในภายหลัง ซึ่งอาจเป็นจากการหายใจ การสัมผัส การกิน หรือแม้กระทั่งการฉีดสารก่อแพ้เข้าสู่ร่างกาย สารก่อภูมิแพ้ได้แก่ ไรฝุ่น แมลงสาบ รังแค ขนสัตว์ ควันบุหรี่ ยา อาหาร หรือแมลงบางชนิด มลพิษในอากาศ และความเครียด
     กรรมพันธุ์
ภูมิแพ้มีความสัพันธุ์อย่างใกล้ชิดกับกรรมพันธุ์ ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ ๕๐  และโอกาสที่รุ่นหลานจะเป็นโรคตามมาจะมีมากกว่า ๘๐ % ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้คนเดียว ลูกมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ ๓๐ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพ่อและแม่ไม่เป็นโรคภูมิแพ้เลย ลูกก็ยังมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้ถึงร้อยละ ๑๕ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้จากกรรมพันธุ์ อาจจะไม่สำแดงอาการจนกว่าจะได้รับการกระตุ้นจากสารก่อภูมิแพ้ บางคนจึงแทบไม่มีโอกาสได้แสดงอาการของโรคภูมิแพ้เลย เพราะทั้งชีวิตไม่เคยไปสัมผัสสิ่งเร้าหรือสารก่อแพ้ที่ตัวเองได้รับมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม

บันทึกการอ่านเรื่องที่๑๗

วันที่ ๒๔ เดือน มกราคม  พ .ศ. ๒๕๕๙
ที่มา : นิพนธ์พงศ์ พานิช (หมอต้น) ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ รักษาได้ง่ายนิดเดียว 
          พิมพ์ครั้งที่ ๑ สำนักพิมพ์ SMART BOOK ในเครือสนุกอ่าน  หน้า ๖๓ - ๘๐


โรคภูมิแพ้เป็นการเจ็บป่วยในโลกศิวิไลซ์


     โรคภูมิแพ้ เป็นการตอบสนองที่มากเกินไปของระบบภูมิคุ้มกัน โรคนี้ส่วนมากจะสงวนไว้ให้เป็นเฉพาะคนในโลกที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายมากในสังคมสมัยใหม่ยุคห่างไกลธรรมชาติ อาการของโรคภูมิแพ้ ได้แก่ มีน้ำมูกใสๆไหลตลอดเวลาร่วมกับอาการอักเสบบวมของโพรงจมูก จากไข้ละอองฟางหรือตามด้วยอาการหอบหืดจากหลอดลมส่วนล่างหดเกร็งหรือบีบตัว แต่ถ้ายังไม่พอก็ขอเพิ่มภูมิแพ้ผิวหนังที่เกิดเป็นผื่นแพ้ซึ่งมีทั้งการอักเสบ บวมแดง และคัน แถมพ่วงมาด้วย
     ปัจจุบันผู้ป่วยโรคภูมิแพ้กำลังทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก เมื่อลองสำรวจแล้วแบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกตามอายุและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ พบว่าในปัจจุบันมีผู้ป่วยภูมิแพ้ถึง ๑ ใน ๒ ของจำนวนประชากรโลก อันเนื่องจากสาเหตุต่างๆกันโดยจะพบมากที่สุดในวัยเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ๆจะมีสัดส่วนของเด็กที่ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ถึง ๒ ใน ๓ เลยทีเดียว
     จากการสำรวจของศูนย์สุขภาพและพัฒนาเด็กแห่งชาติของญี่ปุ่น พบว่ามีแนวโน้มของคนญี่ปุ่นที่เกิดในช่วง ค.ศ. ๑๙๗๐ - ๑๙๗๙ จะป่วยเป็นโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผูคนในเมืองใหญ่ๆจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึง ๙๐%

บันทึกการอ่านเรื่องที่๑๖

วันที่ ๒๔ เดือน มกราคม  พ .ศ. ๒๕๕๙
ที่มา : มิสึฮะรุ โอยะมะ วิทยาศาสตร์มหัศจรรย์
          พิมพ์ครั้งที่ ๑ บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด  หน้า ๑๘ - ๓๐


ทำไมฟอกสบู่แล้วสะอาด


     เวลาอาบน้ำหรือล้างมือเราต้องฟอกสบู่ ถ้าใช้น้ำอย่างเดียวจะล้างสิ่งสกปรกไม่ออก แต่พอฟอกสบู่สิ่งสกปรกก็จะหลุดออกจนสะอาดเอี่ยม สิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามร่างกายล้างออกได้ยาก เพราะว่ามีไขมันที่ร่างกายขับออกมาปนอยู่ด้วย ไขมันจะไม่ละลายน้ำ ดังนั้นน้ำเปล่าๆจึงชะล้างสิ่งสกปรกให้หลุดออกไปได้ 
     สบู่จับสิ่งสกปรกที่มีไขมันปนอยู่ได้ โดยจะเข้าล้อมรอบไขมันและสิ่งสกปรก และแยกให้หลุดออกจากร่างกาย พอใช้น้ำล้างสบู่ออก ไขมันและสิ่งสกปรกที่ถูกสบู่ล้อมไว้ก็จะไหลออกไปพร้อมกับน้ำ ด้วยเหตุนี้เองการฟอกสบู่จึงทำให้ร่างกายสะอาด 
     คราบเปื้อนที่ติดตามภาชนะถ้วยชาม เมื่อล้างด้วยน้ำยาล้างจานก็จะสะอาด เนื่องจากเหตุผลเดียวกัน 

บันทึกการอ่านเรื่องที่๑๕

วันที่ ๒๔ เดือน มกราคม  พ .ศ. ๒๕๕๙
ที่มา : มิสึฮารุ โอยะมะ วิทยาศาสตร์มหัศจรรย์
          พิมพ์ครั้งที่ ๑ บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด หน้า ๓ - ๑๕


สัตว์มหัศจรรย์ นกยักษ์ที่เคยมีอยู่จริงในโลก


     ใครเคยอ่านนิทานเรื่อง "ซินแบดผจญถัย" ที่อยู่ในนิทานชุด "อาหรับราตรี" บ้าง ? ในเรื่องนี้ ซินแบดผูกตัวเองกับขานกร็อกบินไปในท้องฟ้า แล้วนกร็อกก็พาซินแบดไปที่หุบเขาเพชรถึงนกร็อกจะเป็นแค่นกในนิทาน แต่ก็เชื่อกันว่าเป็นนกที่มีต้นแบบมาจากนกยักษ์ที่เคยมีชีวิตอยู่จริงๆในโลก 
     นกที่ว่าคือนกช้าง ที่เคยอาศัยอยู่บนเกาะมาดากัสการ์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา แต่น่าเสียดายที่นกช้างบินไม่ได้เหมือนกับนกร็อก นกช้างสูงถึง ๓ เมตร หนักถึง ๔๕๔ กิโลกรัม นกกระจอกเทศซึ่งสูง ๒ - ๒.๗ เมตร หนัก ๑๓๐ - ๑๖๐ กิโลกรัม จัดว่าเป็นนกตัวใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน ก็ยังสู้นกช้างไม่ได้เลย หากจะพูดถึงนกตัวใหญ่ๆที่ประเทศนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นประเทศที่เป็นเกาะ ก็เคยมีนกตัวใหญ่มาก นั่นก็คือ นกโมอา ซึ่งบินไม่ได้โดยดฉพาะนกโมอายักษ์ที่สูงกว่านกช้าง โดยสูงเกือบ ๔ เมตร แต่ปัจจุบันทั้งนกช้างและนกโมอาได้สูญพันธ์ไปแล้ว สาเหตุเพราะมนุษย์บุกรุกทำลายป่าที่พวกนกอาศัยอยู่ เพื่อใช้เป็นพื้นที่เพาะปลูกหรือเป็นที่อยู่อาศัย และยังมีการล่านกมาเป็นอาหารด้วย เนื่องจากทั้งนกช้างและนกโมอาเป็นนกที่บินไม่ได้ ดังนั้นเมื่อถูกบุกรุกจนสูญเสียถิ่นที่อยู่ไป ก็ย้ายถิ่นไปยังเกาะอื่นๆไม่ได้ นกทั้งสองชนิดได้สูญพันธ์ไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน ปัจจุบันเราจึงไม่มีโอกาสได้เห็นอีก

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

บันทึกการอ่านเรื่องที่๑๔

วันที่ ๑ เดือน มกราคม  พ .ศ. ๒๕๕๙
ที่มา : ฟิลิป สตีล ชาวอียิปต์สร้างปิรามิด
          พิมพ์ครั้งที่ ๒ บริษัท โกรเลียร์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด  หน้า ๒ - ๑๙



ทำไมจึงเรียกชาวอิยิปต์ว่าเป็นคนโบราณ


     เราเรียกชาวอียิปต์ว่าคนโบราณ เพราะพวกเขาเคยมีชีวิตอยู่ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว มิใช่เพราะพวกเขสมีอายุยืนจนแก่เฒ่าหรอก เมื่อ ๘,๐๐๐ ปีที่แล้วมา ชาวอียิปต์พวกแรกๆเป็นชาวนา แต่ภายในช่วงเวลาอีกสองถึงสามพันปีจากนั้น อียิปต์ได้กลายเป็นประเทศที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ดินแดนของอิยิปต์ส่วนมากเป็นทะเลทรายที่เต็มไปด้วยทรายและปราศจากพืชพันธุ์ ชาวอียิปต์โบราณตั้งบ้านเรือนอยู่ตามริมฝั่งของน้ำไนล์ ที่ซึ่งมีน้ำอุดมสมบูรณ์เพียงพอสำหรับพวกเขาและพืชพันธุ์ ชาวอียิปต์มักจะสร้างสุสานอุทิศให้กษัตริย์ผู้ล่วงลับไว้ตามริมฝั่งแม่น้ำด้านทิศตะวันตก ที่ซึ่งดวงอาทิตย์หายลับขอบฟ้าพวกเขาเชื่อว่ากษัตริย์ทั้งหลายจะได้พบกับสุริยะเทพหลังจากล่วงลับไปแล้ว ชาวอียิปต์โบราณมิได้มีความรู้เกี่ยวกับดินแดนต่างๆอันห่างกลในโลก แต่พวกเขาก็ได้สำรวจพื้นที่ส่วนต่างๆของทวีปเอเชียและแอฟริกา พ่อค้าอียิปต์นำไม้ ทองคำ งาช้าง เครื่องเทศ รวมทั้งลิงมาจากบ้านเมืองข้างเคียง

บันทึกการอ่านเรื่องที่๑๓

วันที่ ๑ เดือน มกราคม  พ .ศ. ๒๕๕๙
ที่มา : คาโรล สต๊อต ดาวกระพริบแสง
          พิมพ์ครั้งที่ ๒ บริษัท โกรเลียร์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด  หน้า ๓๖ - ๕๐



บนท้องฟ้ามีดาวเคาระห์ทั้งหมดกี่ดวง


     โลกของเราซึ่งเป็นดาวเคาระห์ และมีเพื่อนบ้านรวมทั้งหมดอีกแปดดวง พวกมันทั้งหมดรวมกันเป็นครอบครัวดาวเคราะห์เก้าดวง เดินทางโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ เราเรียก ดวงอาทิตย์และมวลเทหอวกาศ (Space bodies) ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ว่า ระบบสุริยะ (Solar system) นอกเหนือจากดวงอาทิตย์และบรรดาดาวเคราะห์ต่างๆ ระบบสุริยะยังประกอบไปด้วย ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ขนาดจิ๋วที่เรียกว่า ดาวเคราะห์น้อย (Asteroid) แลดาวหาง (Comet) อีกจำนวนมาก
      ดาวหางก็คือ ก้อนน้ำแข็งสกปรกขนาดมหึมา ดาวหางส่วนมากจะโคจรอยู่บริเวณขอบนอกของระบบสุริยะ แต่มีดาวหางบางดวงที่โคจรเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ เดาวหางเหล่านี้สะสมก๊าซ และฝุ่นละอองเป็นหางเรืองแสงยาวหลายล้านกิโลเมตร ขณะที่ความร้อนจากดวงอาทิตย์จะทำให้มันค่อยๆละลายไป
      ดาวเคราะห์น้อยนับล้านๆดวงโคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ในแถบอวกาศที่อยู่ระหว่าง ดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี บางดวงมีขนาดเล็กเท่าเม็ดทราย บางดวงมีขนาดเท่ากับบ้าน และมีสองสามดวงที่มีขนาดใหญ่เท่ากับประเทศอังกฤษ

บันทึกการอ่านเรื่องที่๑๒

วันที่ ๑ เดือน มกราคม  พ .ศ. ๒๕๕๙
ที่มา : คาโรล สต๊อต ดาวกระพริบแสง
          พิมพ์ครั้งที่ ๒ บริษัท โกรเลียร์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด  หน้า ๑๔ - ๒๕



ดวงอาทิตย์มีความร้อนเพียงใด


     ดวงอาทิตย์ของเราก็เช่นเดียวกับดาวฤกษ์อื่นๆทั้งหลาย มันเป็นกลุ่มก๊าซร้อนจัดมหึมาบริเวณใจกลางของดวงอาทิตย์ เป็นบริเวณที่มีความร้อนสูงที่สุด โดยมีอุณหภูมิประมาณ ๑๕ ล้านองศาเซลเซียส รอบนอกของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิต่ำกว่ามาก คือมีความร้อนราว ๖,๐๐๐ องศาเซลเซียส แต่นั่นก็ยังมีความร้อนสูงกว่าเตาอบในครัวที่บ้านของเราถึง ๒๕ เท่า
     สีดำเป็นหย่อมๆบนดวงอาทิตย์เรียกว่า จุดดับ (Sunspot) บนดวงอาทิตย์ มันเกิดขึ้นแล้วก็หายไปบนผิวของดวงอาทิตย์ พวกมันทำให้ดูคล้ายกับว่าดวงอาทิตย์เป็นอีสุกอีใส จุดดับบนดวงอาทิตย์มีสีดำ เนื่องจากบริเวณนั้นมีอุณหภูมิต่ำและเปล่งแสงออกมาได้น้อยกว่าบริเวณอื่นของดวงอาทิตย์ จุดดับบนดวงอาทิตย์ส่วนมากมีขนาดใหญ่กว่าโลกของเราเสียอีก
     ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ดวงเดียวที่อยู่ใกล้โลกของเรามากพอที่จะทำให้เรารู้สึกร้อน ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้เราดวงถัดไปคือ พร๊อกซิมา เซนทอรี (Proxima Centauri) แสงของดวงอาทิตย์ของเราใช้เวลา ๘.๓ นาทีเพื่อเดินทางมายังโลก แต่แสงของพร๊อกซิมา เซนทอรี่ใช้เวลาถึง ๔.๓ ปี