วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บันทึกการอ่านเรื่องที่๖

วันที่  ๓๐  เดือน พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๕๘
ที่มา : ดร. ชัยวัฒน์ คุประตกุล มนุษย์กับจักรวาล         
พิมพ์ครั้งที่ ๑ สำนักพิมพ์สารคดี หน้าที่ ๖๐ - ๘๐




ทำไมมนุษย์ต่างดาวต้องมีเสาอากาศที่ศรีษะ
  


มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ ? ยังไม่เป็นที่ทราบกันจริงๆว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ แต่ด้วยเหตุผลทา
วิทยาศาสตร์และความเชื่อทั่วๆไปในวงการวิทยาศาสตร์ มนุษย์ต่างดาวก็น่าจะมีจริง เพราะชีวิตแรกเริ่มบนโลกซึ่งต่อมาก็มีวิวัฒนาการจนกระทั่งเกิดมีมนุษย์ขึ้นมานั้น ก็เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติจากสภาพที่เหมาะสมบนโลก นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จึงเชื่อกันว่า ถ้าดาวเคราะห์ดวงื่นๆในจักรวาลมีสภาพที่เหมาะสม ก็จะต้องมีสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้นมาเช่นกัน และก็น่าจะต้องมีวิฒนาการต่อๆมาจนกระทั่งเป็นสิ่งมีชีวิตั้นสูงถึงระดับเป็นมนุษย์ได้เช่นกัน
     มนุษย์ต่างดาวเป็นอย่างไร เหมือนกับมนุษย์บนโลกหรือไม่ ทำไมภาพวาดของมนุษย์ต่างดาวจึงมักจะมีเสาอากาศรับส่งสัญญาณที่ศรีษะ ๒ อันด้วย และมีหัวกลมๆคล้ายเกาะเหล็กใส่อยู่ทั้งตัวเหมือนหุ่นยนต์ ผู้วาดเคยเห็นหรือ เคยรู้ถึงวิวัฒนาการและความเจริญทางวิทยาศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงของเขาหรือ ?
ถ้ามนุษย์ต่างดาวมีจริง ลักษณะของมนุษย์ต่างดาวจะขึ้นอยู่กับสภาพหลายๆอย่างของดาวเคราะห์นั้น เช่น เป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดเล็กใหญ่อย่างไร บรรยากาศหายใจประกอบด้วยธาตุอะไร อาหารเป็นอย่างไร แสงสว่างและความร้อนจากดาวฤกษ์อันเป็นเสมือนดวงอาทิตย์ของเขานั้นเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆคือโอกาสที่มนุษย์ต่างดาวจะเหมือนกับมนุษย์โลกนั้นมีน้อยเหลือเกิน นั่นคือมนุษย์ต่างดาวก็คงจะเป็นเสมือนกับสัตว์ประหลาดสำหรับเขา ลักษณะประหลาดๆของมนุษย์ต่างดาวเหล่านั้น ก็เกิดจากจินตนาการของผู้วาดและผู้ให้ข้อมูลรวมทั้งเจตนาด้วย

บันทึกการอ่านเรื่องที่๕


วันที่  ๓๐  เดือน พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๕๘
ที่มา : ดร. ชัยวัฒน์ คุประตกุล มนุษย์กับจักรวาล         
พิมพ์ครั้งที่ ๑ สำนักพิมพ์สารคดี หน้าที่ ๔๐ - ๕๕





อำนาจของหลุมดำ



     เนื่องจากหลุมดำมีแรงดึงดูดโน้มถ่วงมหาศาล ดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าใกล้มิให้หนีออกไปจากหลุมดำได้ แม้แต่แสงก็หนีออกจากหลุมดำไม่ได้ (จึงมองไม่เห็นและจึงมีชื่อเรียกว่า หลุมดำ) ดังนั้วัตถุที่ถูกหลุมดำดูดเข้าไปจะไม่สามารถคงสภาพเดิมอยู่ได้ จะต้องแตกสลายเปลี่ยนสภาพกลับไปสู่สภาพองค์ประกอบเล็กที่สุดคือ อะตอม และแม้แต่อะตอมก็อาจจะคงสภาพอยู่ไม่ได้ อาจจะแตกสลายต่อไปเป็นองค์ประกอบพื้นฐานเล็กลงไปอีกเป็นอิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน หรือองค์ประกอบที่เล็กลงไปอีก คือ ควาร์ก (Quark)
     จริงๆแล้วมาถึงขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังมีข้อมูลความรู้น้อยมากเกี่ยวกับหลุมดำ และยังไม่ทราบจริงๆหรอกว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับวัตถุที่ถูกหลุมดำดูดเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดสุดท้ายของการแตกสลายจะหยุดอยู่ที่ไหน คือ หยุดอยู่ที่เป็นอะตอม หรือเล็กลงไปเป็นอิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน หรือเล็กลงไปอีกเป็นควาร์ก แต่ที่แน่ๆคือ ถ้ายานอวกาศและมนุษย์ถูกหลุมดำดูดเข้าไป ก็เป็นอันสวัสดีชั่วนิรันดร์กันได้เลย ยกเว้นแต่ว่า มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับหลุมดำที่นักวิทยาศาสตร์ยังคาดกันไม่ถึงจริงๆ
     มีนักวิทยาศาสตร์บางคนเสนอแนวความคิดที่แปลกใหม่ว่า หลุมดำอาจเป็นทางลัดเชื่อต่อระหว่างจักรวาลหรือมิติได้ กล่าวคือ เมื่อวัตถุหนึ่งถูกดูดเข้าสู่หลุมดำทางหนึ่ง ก็ออกไปจากหลุมดำอีกทางหนึ่งสู่จักรวาลหรือมิติใหม่ และมีการตั้งชื่อส่วนที่เป็นช่องหรือทางออกจากหลุมดำเปิดสู่อีกจักรวาลหรือมิติหนึ่งว่า หลุมขาว (White Hole) แต่ก็เป็นเพียงทฤษฎี ยังไม่เป็นที่ยอมรับ

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บันทึกการอ่านเรื่องที่๔

วันที่  ๒๓  เดือน พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๕๘
ที่มา : ผศ. ดร. ฉัฐไชย์ ลีนาวงศ์ ตรรกะแห่งการพิสูจน์         
พิมพ์ครั้งที่ ๑ สำนักพิมพ์ท้อป จำกัด หน้า ๒ - ๑๕




ความจริงของการพิสูจน์ (The Truth of It All)
     


     จุดมุ่งหมายที่สำคัญอย่างหนึ่งของนักคณิตศาสตร์ คือ การค้นหาความจริงทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Truth) และสื่อสารความจริงนั้นผ่านบทพิสูจน์ (Proof) ด้วยภาษาคณิศาสตร์ เนื่องจากภาษาคณิตศาสตร์มีคุณสมบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ความถูกต้องแม่นยำ บทพิสูจน์ที่ดีควรจะถูกนำเสนออย่างเป็นขั้นตอน ติดตามโดยปราศจากความคลุมเครือ ดังนั้น บทพิสูจน์ที่ดีจึงไม่ควรมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้อง แต่บางครั้งบทพิสูน์ในบทความวิชาการหรือตำราเรียนถูกนำเสนอโดยย่อสำหรับกลุ่มคนที่เข้าใจภาษาคณิตศาสตร์อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ เพื่อที่จะเข้าใจและสามารถเขียนบทพิสูจน์ได้ เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับภาษาใหม่และแนวคิดใหม่นี้ อธิบายเทคนิควิธีการพิสูจน์แบบต่างๆแต่ละวิธีมีการทำงานอย่างไร เราควรเลือกใช้วิธีนั้นๆเมื่อใด และเพราะเหตุใด ซึ่งโดยส่วนใหญ่รูปแบบของโจทย์ปัญหาที่เรากำลังทำการพิสูจน์จะเป็นตัวบ่งบอกว่าวิธีการพิสูจน์ใดเหมาะสม นอกจากเป้าหมายที่ต้องการให้ผู้อ่านสามารถเขียนบทพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ได้ด้วยตนเองแล้ว ยังจะอธิบายถึงการอ่านและวิเคราะห์บทพิสูจน์ที่มีผู้อ่านเขียนเอาไว้แล้วด้วย ทั้งนี้เนื่องจากมีบ่อยครั้งที่ผู้เขียนบทพิสูจน์จะละบางขั้นตอน     ความหมายของบทพิสูจน์ข้อความทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Statement) คือข้อความที่สามารถบอกได้ว่าเป็นจริง (True) หรือเท็จ (False) เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง


บันทึกการอ่านเรื่องที่๓

วันที่  ๒๓  เดือน พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๕๘
ที่มา : ดร. ชัยวัฒน์ คุประตกุล มนุษย์กับจักรวาล         
พิมพ์ครั้งที่ ๑ สำนักพิมพ์สารคดี หน้าที่ ๒๐ - ๓๒




ดาวหางชนโลก
    


      โลกเคยถูกดาวหางชนหรือไม่ ?นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเคย ล่าสุดก็คือการระเบิดครั้งใหญ่ที่แถบบริเวณแม่น้ำทังกัสกาในไซบีเรีย สหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๑ ที่เรียกกันว่า การระเบิดไซบีเรีย หรือการระเบิดทังกัสกา     การระเบิดทังกัสกาเป็นการระเบิดที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวอย่างยิ่ง เทียบได้กับการระเบิดของระเบิดไฮโดรเจนขนาด ๑๒ เมกะตัน เกิดขึ้นตอนเช้าของวันนั้น เป็นลูกไฟสว่างจ้าระเบิดขึ้นเหนือพื้นดิน เห็นได้ไกลถึง ๘๐๐ กิโลเมตร เสียงระเบิดได้ยินไปไกลถึง ๘๐๐ กิโลเมตร แรงระเบิดรู้สึกไปได้ไกล ๘๐ กิโลเมตร ทำให้เกิดคลื่นแผ่นดินไหว วัดได้ทั่วโลก หมู่บ้านสองหมู่บ้านถูกพังราบ ป่าไม้ทั้งป่าถูกพังราบเป็นหน้ากลอง กินอาณาเขตบริเวณกว้างถึง ๒๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ต้นไม้ถูกแรงระเบิดพังราบเป็นแถบๆ เกิดไฟไหม้ป่าอย่างรุนแรง ท้องฟ้าแถบกลางคืนทั่วโลกสว่างอยู่หลายคืนขณะที่เกิดการระเบิด เวลาของกรุงลอนดอนเป็นเวลาเที่ยงคืน แต่ท้องฟ้าเหนือกรุงลอนดอนก็สว่างขึ้นมาดังกลางวันจนกระทั่งคนในลอนดอนสามารถอ่านหนังสือพิมพ์กลางถนนได้     แต่เดิมมาก็มีหลายทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์เสนอกันขึ้นมาเพื่ออธิบายสาเหตุการเกิดระเบิดที่ทังกัสกา ทว่าหลักฐานข้อมูลล่าสุดทำให้นักวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากเชื่อกันว่า สาเหตุของการระเบิดที่ทังกัสกา มีเค้าว่าเป็นดาวหางมากที่สุด และก้าวไปไกลถึงขั้นระบุว่าดาวหางต้นเหตุระเบิดที่ทังกัสกา คือดาวหางชื่อ เองเก (Encke) มีวงโคจรปิดรอบดวงอาทิตย์ทุกๆ ๓.๓ ปี การระเบิดนั้นก็เป็นการระเบิดของชิ้นส่วนดาวหางเอ็นเคที่ระเบิดเหนือทังกัสกานั่นเอง โชคดีที่การระเบิดทังกัสกาเกิดขึ้นในแถบที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น จึงไม่มีผู้ใดได้รับอันตรายถึงชีวิต แต่ถ้าระเบิดนั้นเกิดขึ้นเหนือนครใหญ่ๆของโลก เช่น กรุงเทพฯ โตเกียว นึกภาพดูแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บันทึกการอ่านเรื่องที่๒

วันที่  ๒๐  เดือน พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๕๘
ที่มา : สารและสมบัติของสาร
         พิมพ์ครั้งที่ ๑ หน้า ๖๘ - ๘๐


สารชีวโมเลกุล


     มนุษย์รับประทานอาหารเพื่อการดำรงชีวิต เนื่องจากในอาหารมีสารอาหารที่ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ ได้แก่ ไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่และน้ำ สารอาหารบางประเภทจัดเป็นสารชีวโมเลกุล (Biomolecules) เช่น ไขมัน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และกรดนิคลิอิกก็จัดเป็นสารชีวโมเลกุลเช่นเดียวกัน
     สารชีวโมเลกุล คือ สารที่สิ่งมีชีวิตสามารถนำไปใช้ในกระบวนการดำรงชีวิต มีธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน เป็นองค์ประกอบหลัก โมเลกุลมีตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ สารชีวโมเลกุลทำหน้าที่แตกต่างกันตามลักษณะโครงสร้าง และมีบทบาทสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต 
     สารชีวโมเลกุลมีประโยชน์มากมาย และมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆของร่างกาย เช่น
      ๑. สลายให้พลังงาน
      ๒. ใช้ในการเจริญเติบโต
      ๓. ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
      ๔. ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น สุขภาพผมและเล็บดี
      ๕. เป็นส่วนหยึ่งในการรักษาสมดุลของน้ำ และกรด - เบส
      ๖. เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมน เอนไซม์ และระบบภูมิคุ้มกัน

บันทึกการอ่านเรื่องที่๑

วันที่ ๒๐ เดือน พฤศจิกายน   พ .ศ. ๒๕๕๘
ที่มา : ดร. นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์ สารพิษในอาหาร
          พิมพ์ครั้งที่ ๑ บริษัทโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช หน้า ๑ - ๑๒



สารพิษในอาหารตามธรรมชาติ


        สารพิษ ในอาหารตามธรรมชาติ หมายถึง สารเคมีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และพบว่ามีอยู่ในอาหารบางชนิด โดยที่มนุษย์มิได้ปลอมปนใส่เข้าไปเพื่อวัตถุประสงค์ใดๆ และสารพิษที่กล่าวถึงนี้รวมความถึงสารทุกชนิดที่เป็นต้นเหตุให้เกิดสิ่งที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งอาจมีความรุนแรงถึงชีวิตอย่างที่เรียกว่า กินแล้วเสียชีวิต หรือทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ทรมาน ไม่สบาย แต่ไม่ถึงแก่ชีวิต หรือเป็นสารที่มีฤทธิ์บั่นทอนสุขภาพ หรือขัดขวางการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย เหล่านี้ก็ถือว่าอยู่ในขอบเขตของคำว่า สารพิษในอาหาร
        ในบรรดาวัตถุดิบที่ใช้เป็นอาหารสำหรับมนุษย์ได้แก่ พืชและสัตว์ พบว่ามีพืชบกและสัตว์น้ำบางชนิดที่มีพิษเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ซึ่งสารพิษเหล่านี้บางชนิดก็มีอยู่เป็นส่วนประกอบของอาหารตามธรรมชาติอยู่แล้ว บางชนิดก็เป็นสารพิษที่ติดมากับอาหารตามธรรมชาติที่สัตว์กินเข้าไปแล้วเกิดการเก็บสะสมสารพิษในตัวสัตว์ เมื่อมนุษย์กินสัตว์ก็ได้รับอันตรายจากสารพิษนั้น เรียกได้ว่า เป็นการรับพิษจากห่วงโซ่อาหาร
         อาหารเป็นแหล่งกำเนิดของสารพิษตามธรรมชาติที่มีโอกาสทำอันตรายต่อมนุษย์ แบ่งได้เป็น ๓ ประเภท ได้แก่ สารพิษในอาหารที่เป็นพืช สารพิษในอาหารที่เป็นสัตว์ทะเล และสารพิษในอาหารที่เป็นสัตว์น้ำจืด